จากประสบการณ์การเคยปวดฟันคิดว่าทุกท่านคงทราบดีว่ามีความทรมานมากเพียงใด ส่วนใครที่ยังไม่เคยถือว่าเป็นผู้โชคดีมากทีเดียว แต่ก็อย่านิ่งนอนใจเป็นอันขาด ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากและฟันจากทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะถ้าเกิดมีโรคในช่องปากจะได้รีบทำการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม
สาเหตุที่ทำให้ปวดฟันมีอะไรบ้าง สาเหตุใหญ่ๆ 2 สาเหตุที่ทำให้ปวดฟัน คือ โรคปริทันต์ และโรคฟันผุ
โรคปริทันต์
เป็นอาการปวดฟันที่เกิดจากการมีหินปูนเกาะที่คอฟันและลุกลามไปยังปลายรากฟัน หินปูนจะมีผิวหนังหยาบทำให้คราบอาหารและเชื้อแบคทีเรียเกาะติดได้ง่าย ทำให้เป็นหนองเหงือกบวม
อาการปวดฟันที่เกิดจากโรคปริทันต์ แรกเริ่มจะมีอาหารปวดตื้อๆ และคันเหงือก เมื่อกดบริเวณที่ปวดจะรู้สึกสบายขึ้น ถ้าอาการลุกลามก็จะปวดมากขึ้นอาจปวดร้าวไปทั้งแถบ รวมทั้งมีฟันโยกและปวดฟันร่วมด้วยการรักษาอาการปวดจากโรคปริทันต์สามารถทำได้โดยการขูดหินปูนที่เกาะอยู่ที่ผิวฟัน ตัวฟันและรากฟันออกให้หมดและขัดฟันบริเวณนั้นให้เรียบ เพื่อกันไม่ให้คราบอาหารหรือแผ่นคราบแบคทีเรียเกาะติดได้ง่าย และถ้ามีเหงือกอักเสบร่วมด้วยต้องกำจัดผิวเหงือกด้านในที่อักเสบออกไปด้วย หลังจากนั้นทันตแพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลและทำความสะอาดฟันให้ ซึ่งผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้กลับมาเป็นใหม่อีก
โรคฟันผุ
เป็นอาการปวดฟันเมื่อฟันผุลุกลามไปถึงชั้นเนื้อฟัน ซึ่งบริเวณนี้จะติดต่อกับเส้นประสาทที่รับความรู้สึกได้ ทำให้รู้สึกเสียวฟัน หรือปวดฟัน เมื่อมีอาหารไปอุดในรูฟัน ถ้าปล่อยไว้จนฟันผุ ถึงโพรงประสาทฟันจะทำให้ปวดมากขึ้น ถ้าฟันผุถึงชั้นเนื้อฟัน ก็สามารถอุดฟันเก็บไว้ได้แต่ถ้าฟันผุจนถึง โพรงประสาทฟัน และเป็นหนองปลายรากฟันแล้ว จะอุดฟันธรรมดาไม่ได้ จะต้องรักษารากฟันก่อน โดยกรอฟันส่วนที่ผุออกให้หมดจนเหลือแต่เนื้อฟันส่วนที่แข็งและสะอาด แล้วจึงกรอเปิดเข้าไปในโพรงประสาทฟัน
ฟันที่รักษารากแล้วจะเปราะกว่าฟันปกติ ดังนั้นถ้ารักษารากฟัน และอุดไว้ด้วยวัสดุอุดฟันธรรมดา เวลาใช้ฟันซี่นี้ต้องระวังอย่าเคี้ยวอาหารที่แข็งมากๆ หรือใช้ฟันซี่นี้กัดอาหารแข็งๆ จะทำให้ฟันหักได้ ถ้าจะให้แข็งแรงควรทำครอบฟันหลังรักษารากฟันแล้ว
ส่วนฟันที่ผุมากๆ จนเหลือแต่รากฟันและเนื้อฟันเปื่อยมากจนหาขอบของฟันไม่ได้ หรือขอบฟันอยู่ใต้เหงือกลึก ก็อาจจะเก็บไว้ไม่ได้ จำเป็นต้องถอนฟันออกและใส่ฟันปลอม
จะเห็นได้ว่าอาการปวดฟันสามารถรักษาให้หายและสามารถเก็บฟันไว้ได้ถ้าเราไม่นิ่งนอนใจ ปล่อยทิ้งไว้จนอาการของโรคลุกลามไปมาก ดังนั้นปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเมื่อช่องปากมีปัญหาและที่สำคัญควรหาโอกาสมาตรวจสุขภาพช่องปากอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันและรีบทำการรักษาต่อไป